“สงครามการค้า Big Data และ AI” ชี้ชะตา ‘เศรษฐกิจไทย 2019’ รับผลกระทบสงครามการค้าโลก GDP คงที่ 3% 

เดินทางมาถึงปลายปี 2018 จนได้ ซึ่งภาพรวมทั้งปีของเศรษฐกิจไทยก็ลุ่มๆ ดอนๆ มาตลอด โดยเฉพาะตัวเลขโดยรวมในไตรมาสที่ 3 ที่ต่ำกว่าการคาดการณ์ของนักวิเคราะห์ อาจจะต้องมาจับตาในโค้งสุดท้ายของไตรมาสที่ 4 นี้แล้วว่านโยบายแจกเงินในบัตรคนจน ผนวกกับการแก้ไขปัญหานักท่องเที่ยวจีนจะทำให้กลับมาชัดเจนจะช่วยการฟื้นตัวของเศรษฐกิจได้จริงหรือไม่

น่าห่วง! 2019 ไทยรับผลกระทบสงครามการค้าโลก GDP คงที่ 3%

อย่างไรก็ตามในปี 2019 ดูเหมือนเศรษฐกิจไทยก็ยังต้องมีการลุ้นอยู่ไม่น้อย แม้ทิศทางการเมืองจะกลับมาชัดเจนมากขึ้น เมื่อรัฐบาลเริ่มส่งสัญญาณว่าจะมีการเลือกตั้งแน่ๆ แต่ปัจจัยภายนอกอื่นๆ ก็ยังสร้างผลกระทบไม่น้อย โดยเฉพาะ 4 เรื่องสำคัญ

1. สงครามการค้า (มาตรการต่างๆ ที่ออกมากีดกันทางการค้าของสหรัฐฯ และจีน)
2. วิกฤตเศรษฐกิจตลาดเกิดใหม่
3. การชะลอตัวของจีน
4. ดอกเบี้ยสหรัฐฯ ที่เป็นขาขึ้น

ดร.พิพัฒน์ เหลืองนฤมิตชัย ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์ ภัทร จํากัด (มหาชน) วิเคราะห์เพิ่มเติมในงานสัมมนาหัวข้อ “เศรษฐกิจไทย ปี 2562 มองไปข้างหน้า” ว่า ตอนนี้สหรัฐฯ เริ่มลดมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจไปเป็นแบบค่อยเป็นค่อยไปแทน ส่งผลให้ขยายตัวเป็นไปได้ไม่มาก ทำให้เศรษฐกิจโลกชะลอตัวตาม อีกทั้งยังมีเรื่องการออกมาตรการกีดกันทางการค้าระหว่างสหรัฐฯ กับจีน ซึ่งทั้งสองประเทศเป็นประเทศเศรษฐกิจขนาดใหญ่ของโลก ทำให้ทุกอย่างที่ทั้งสองประเทศขยับตัวมันส่งผลกระทบต่อประเทศอื่นๆ ตามมา

สำหรับประเทศไทยผลกระทบจากสงครามการค้าจะมาจากสินค้าบางประเภทเป็นหลัก เนื่องจากนโยบายที่ออกมานั้นระบุในรายสินค้า ทำให้การฟื้นตัวเศรษฐกิจไทยยังเป็นไปได้ยาก อาจคงที่ประมาณ 3% ปลายๆ จากปัจจัยภายนอกประเทศ อย่างไรก็ประเทศไทยยังมีฐานะทางการเงินที่แข็งแกร่ง เนื่องจากมีเงินทุนสำรองระหว่างประเทศสูง ทำให้ดุลบัญชียังสะพัดจากกระแสเงินทุนที่ไหลเข้าประเทศ

Data และเทคโนโลยีจะเป็นตัวชี้ชะตาเศรษฐกิจไทย 2019

แม้ปัจจัยภายนอกอาจจะไม่ราบลื่นนัก แต่ในส่วนของปัจจัยหลักที่จะส่งผลให้ธุรกิจทั้งรายใหญ่และรายเล็กอยู่รอดได้ก็ยังมีอยู่ ซึ่งเรื่องนี้ ดร.วิรไท สันติประภพ ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) มองว่า จะเป็นเรื่องของ Big Data และเทคโนโลยี AI โดยธุรกิจจะแข่งกันด้วยการตอบสนองความต้องการลูกค้าที่ออกแบบมาเพื่อรายบุคคล (Segment of one) ซึ่งปี 2019 จะเป็นการปฏิวัติธุรกิจด้วยเทคโนโลยี และจะเป็นเรื่องชี้เป็นชี้ตาย ภายใต้มิติทั้ง 5S

• Scale = ธุรกิจจะลดต้นทุนได้จากขนาด และเทคโนโลยีจะทำให้ทุกธุรกิจขยายตัวได้เร็ว
• Speed = ธุรกิจจะแข่งกันด้วยความเร็ว ต้องตอบสนองลูกค้าได้ทันที
• Scope = เส้นแบ่งระหว่างผลิตภัณฑ์จะเบลอมากขึ้น เช่น ภาคธนาคารที่ทุกวันนี้ไม่ได้ให้บริการแค่การเงินอย่างเดียว แต่กำลัง Transformation ตัวเองไปเป็น Platform
• Sharing economy = ธุรกิจไม่จำเป็นต้องเป็นเจ้าของทรัพยากร ไม่ต้องลงทุนเอง ก็ใช้ประโยชน์ได้ และลดต้นทุน เช่น Grab และ Uber แอปพลิเคชันให้บริการรถยนต์การเดินที่ไม่มีรถยนต์เป็นของตัวเองด้วยซ้ำ
• Segment of one = เทคโนโลยีจะทำให้เราแบ่งลูกค้าเป็นรายบุคคลได้ จากเดิมที่แบ่งเป็นกลุ่มใหญ่

Big Data จะทำให้เกิดการเปลี่ยนทั้งหมดและจะมีทั้งความท้าทายและโอกาส โดยเฉพาะธุรกิจขนาดเล็กที่จะก้าวเข้ามาได้เปรียบธุรกิจขนาดใหญ่ขึ้น แต่เดิมที่คิดกันว่า Big Data เป็นเรื่องของธุรกิจขนาดใหญ่ แต่มันจะกลายเป็นเรื่องของทุกธุรกิจ แม้กระทั่งรายย่อย ยิ่ง S ที่ 4 คือ Sharing economy จะทำให้ลดต้นทุนได้มาก เช่น การใช้คลาวด์เทคโนโลยี (Cloud) แทนการตั้งระบบเซิร์ฟเวอร์ขนาดใหญ่ที่ใช้เงินทุนสูงมาก

ไม่ต้องพึ่งพระโคแล้ว! หนุนภาคเกษตรใช้ Big Data ผ่าน IoT วิเคราะห์ปัจจัยก่อนลงทุนเพาะปลูก

คุณอุกฤษ อุณหเลขกะ Founder และ CEO บริษัท Ricult จํากัด ยังแนะนำเพิ่มเติมอีกว่า Big Data ยังสามารถนำมาใช้ในภาคเกษตรได้

ผ่าน IoT (Internet of Things) เป็นการเก็บข้อมูลในรูปแบบ Physical ผ่าน Data Map

สิ่งนี้จะทำให้เราสามารถคาดการณ์ได้เลยว่า ที่ดินพื้นนี้จะเพาะปลูกขึ้นหรือไม่ โดยที่ไม่ต้องลงพื้นที่เอง แต่ทำผ่านดาวเทียม และโดรน ประมวลผ่านอัลกอริทึ่มที่ออกแบบขึ้นมาเพื่อทำการวิเคราะห์ เช่น สภาพอากาศ แสงแดด สภาพหน้าดิน เป็นต้น