Digital Marketing Report

นี่คือคำศัทพ์สำหรับการวางกลยุทธ์และการทำรายงาน Digital Marketing Report

พบกับคำศัทพ์สำหรับการวางกลยุทธ์และการทำรายงานหรือ Digital Marketing Report ที่พวกแผนก Digital Marketing พูดถึง ใช้งาน และทำส่งงานคุณ หรือการที่คุณต้อง Deal กับเหล่าเอเจนซี่

พบกับคำศัทพ์สำหรับการวางกลยุทธ์และการทำรายงานหรือ Digital Marketing Report ซึ่งด้านล่างนี้คุณจะเป็นหัวข้อและคำศัทพ์ที่พวกแผนก Digital Marketing พูดถึง ใช้งาน และทำ Digital Marketing Report ส่งงานคุณ หรือการที่คุณต้อง Deal กับเหล่าเอเจนซี่

General Terms & Metrics

Sales Funnel: แนวคิดหรือคอนเซปต์ด้านการตลาดเพื่อสร้างโอกาสในการขาย เน้นไปที่การสร้างคุณค่าให้กับผู้บริโภคก่อนเป็นหลัก เช่น การสร้างคอนเทนต์เนื้อหาที่เป็นประโยชน์ผ่านทางเว็บไซต์ โดยเกี่ยวข้องกับสินค้าและบริการหรือสิ่งที่กลุ่มเป้าหมายทางการตลาดสนใจ เพื่อแลกความ Data การเข้าชมเว็บไซต์ที่คุณจะได้ แล้วนำเสนอขายสินค้าซ้ำไปยังคนที่สนใจ Content จากนั้นก็ปิดการขาย

Brand Personality: การสื่อสารตัวตนและภาพลักษณ์ของแบรนด์ไปยังกลุ่มเป้าหมายผ่าน Content และการสื่อสารทางการตลาด

Click-Through Rate (CTR): เปอร์เซ็นต์ของผู้คลิกจากการที่เห็นโฆษณา หรือจำนวนคนคลิกเข้าสู่เว็บไซต์จาก E-mail ที่เราส่งไปหาทั้งหมด มีสูตรคำนวนคือ clicks / impressions=CTR

Conversion Rate: ตราส่วนของการเข้าชมเนื้อหาในเว็บไซต์ที่กลายเป็นการกระทำใดๆ เช่น ยอดขายสินค้า ยอดผู้สมัคร ยอดคนลงทะเบียน ตัวอย่าง: คลิก = 1,000 คน / Conversion = 100 (กำหนดค่า Conversion เท่ากับคนลงทะเบียน) / Conversion Rate = 10% มาจากสูตร (Conversion/Traffic)*100 หรือ (100/1,000)*100

Cost Per Click (CPC): จำนวนเงินที่คุณจ่ายบนแพลตฟอร์ม เมื่อโฆษณาโดยจะเก็บเงินก็ต่อเมื่อมีคนคลิก

Cost Per Thousand Impressions (CPM): จำนวนเงินที่คุณจ่ายบนแพลตฟอร์ม เมื่อโฆษณาโดยจะเก็บเงินก็ต่อเมื่อชิ้นงานโฆษณาเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายทุก 1,000 ครั้ง

Cost Per Acquisition (CPA): ต้นทุนในการหาลูกค้าใหม่ 1 รายหรืออาจระบุเป็น ราคาต้นทุนต่อ 1 Conversion

Return on Ad Spend (ROAS): ผลกำไรที่เกิดขึ้นจากแคมเปญโฆษณา สูตร ROAS = รายได้จากการโฆษณา / จำนวนค่าโฆษณา

Customer Lifetime Value (LTV): มูลค่าที่เราคาดการณ์ว่าลูกค้าหนึ่งรายจะสร้างมาสร้างรายได้ให้บริษัท ตลอดระยะเวลาที่มความสัมพันธ์กับบริษัทเท่าไร เช่น คอร์สรักษาทรีทเมนต์สิว 1 ครั้ง 500 บาท ลูกค้าหนึ่งคนต้องทำ 10 ครั้งถึงเห็นผล จะทำให้บริษัทประเมินได้ว่าจะสร้างกำไรจากลูกค้าคนนี้ได้ 10,000 บาท และมาทำงบประมาณที่ควรใช้ในการรักษาลูกค้าเก่าว่าเป็นเท่าไร

Customer Acquisition Cost (CAC): ต้นทุนในการทำการตลาดเพื่อให้ได้ยอดขาย หรือการหาลูกค้าใหม่

Search Engine Optimization

Impression: จำนวนครั้งที่แสดงโฆษณาออกไป

Bounce Rate: อัตราเฉลี่ยของคนที่ออกจากเว็บไซต์ของคุณในทันที สาเหตุอาจมาจากหน้าเว็บไซต์โหลดช้า หรืออ่านบทความไม่จบและไม่สนใจต่อ

Canonical Tag: Tag ที่บอกให้ Search Engine รู้ว่า URL ที่อยู่ภายใต้ Tag นี้ ‘ไม่ใช่’ หน้า Original Content เพื่อป้องกัน Search Engine มองว่าเว็บไซต์เรามีเนื้อหาซ้ำกันหลายหน้า เช่น เราต้องการเก็บข้อมูลกลุ่มเป้าหมาย 3 กลุ่ม ซึ่งมาจากกลยุทธ์ Customer Journey ต่างกัน แต่ต้องการขายสินค้าเดียวกัน เราเลยทำหน้า Landing Page ที่มีเนื้อหาเหมือนกัน 3 URL เพื่อแยกกลุ่มเป้าหมายออกจากกัน โดยใส่ Canonical Tag บน URL ที่ทำหน้า Landing Page ใหม่ 3 URL

Search Engine Results Page (SERP): ผลการแสดงอันดับของ Search Engine

Meta Tag: แท็ก HTML ที่อธิบายความหมายของหน้าเว็บไซต์เป็นหนึ่งกลยุทธ์ในการเพิ่มคะแนนเพื่อให้เว็บไซต์เราติดการค้นหาในหน้าแรกของ Search Engine

Sitemap: แผนผังไซต์บนเว็บไซต์ที่แสดงรายการหน้าทั้งหมดในเว็บไซต์ เพื่อให้ Bot ของ Search Engine รู้ว่าต้องไปเก็บรวบรวมข้อมูลหน้าไหนบนเว็บไซต์บ้าง เป็นการเพิ่มคะแนนให้กับ SEO

Long Tail Keywords: Keyword ที่มีความเจาะจงมากขึ้น เช่น ปกติเวลาใช้ Keyword เพื่อทำบทความหรือซื้อโฆษณาบน search engines เราอาจเลือกคำหลัก (Main Keyword) คือ ‘Content Marketing’ และ Long Tail Keyword ที่เจาะมากขึ้นเป็นวลีที่สองเป็นวลีว่า ‘คือ’ เท่ากับ ‘Content Marketing คือ’

404 Error: หมายความว่าไม่พบหน้าเพจดังกล่าว ข้อผิดพลาดอาจเกิดขึ้นจากสาเหตุดังนี้ เช่น พิมพ์ URL ผิด, หน้าเพจถูกลบหรือย้าย URL หรือ Domain หมดอายุ

Schema Markup: Code ที่คุณสามารถเพิ่มลงใน HTML เว็บไซต์ เพื่อช่วยให้ Search Engines เข้าใจว่าเว็บไซต์ของคุณเกี่ยวกับอะไรและมีข้อมูลประเภทใดบ้าง

Paid Media

Paid Search: หรือหลายคนคุ้นกันว่า Search Engine Marketing (SEM) เป็นการซื้อโฆษณาบน Keyword ของ Search Engine เพื่อให้ติดหน้าแรก

Quality Score: คะแนน Google AdWords กำหนดให้กับโฆษณาและแคมเปญ โดยพิจารณาจากคุณภาพโฆษณาว่ามีความเกี่ยวข้องกับความสนใจ พฤติกรรม ของกลุ่มเป้าหมาย หรือสร้างประสบการณ์ที่ดีกับกลุ่มเป้าหมาย ยิ่งคะแนนคุณภาพของคุณสูง โฆษณาของคุณก็จะยิ่งปรากฏในหน้าผลลัพธ์ของเครื่องมือค้นหา (Search Engine Results Page: SERP)

Negative Keywords: คือการที่เรากำหนด keywords ที่เราบอก Google AdWords ว่าเราไม่อยากได้ เพราะหลายๆครั้ง AdWords จะยิงโฆษณาไปให้กับ keywords แปลกๆ ที่เราไม่ได้ต้องการ

Retargeting: การซื้อโฆษณาไปยังกลุ่มเป้าหมายที่เคยเข้าชมเว็บไซต์ ในช่องทางอื่น เช่น ซื้อโฆษณาบน Facebook โดยเลือกคนที่เคยเข้าชมเว็บไซต์คุณ

Dynamic Retargeting: การใช้โฆษณาอีกชิ้นที่แตกต่างจากเดิม อาจเพิ่มข้อเสนอพิเศษ เช่น ยิงโฆษณาซื้อตอนนี้ลดทันทีไปยังกลุ่มเป้าหมายที่เคยเข้าชมเว็บไซต์คุณแล้วแต่ยังไม่ซื้อสินค้า

Behavioral Targeting: การแสดงโฆษณาให้กับผู้ที่ควรรับข้อความของคุณจากพฤติกรรมที่พวกเขาเคยเยี่ยมชมเว็บไซต์

Geo-Targeting & Geo-Fencing: เป็นการทำการโฆษณาแบบ location-based เช่น การที่ The Mall ส่ง SMS โฆษณาไปยังผู้คนที่อยู่บริเวณรอบๆ ห้าง

Expanded Text Ads: คือการเพิ่มความยาวของ headline และ description ให้มากขึ้นกว่าเดิม เพื่อให้การแสดงผลบนจอมือถือมีประสิทธิภาพดีขึ้น

Affiliate Marketing: การที่ผู้ต้องการลงโฆษณาจ้างให้สื่อที่มีช่องทาของตัวเองช่วยโปรโมทสินค้า และเมื่อมีคนคลิกหรือซื้อสินค้า สื่อจะได้ค่าตอบแทนเป็นเงินส่วนแบ่ง (Commission) จากค่าแนะนำสินค้า

Event Tracking: Code ประเภทหนึ่งที่ติดตั้งกับเว็บไซต์เพื่อใช้ติดตามพฤติกรรมต่างๆ ของผู้ชม เช่น Facebook Pixel เป็นต้น

E-Mail Marketing

Call to Action (CTA): ปุ่มกระตุ้นให้ลูกค้ากด

A/B Testing: เปรียบเทียบแคมเปญที่คุณส่งไปหาลูกค้าและนำผลลัพธ์มาประเมินเพื่อระบุว่าแคมเปญรูปแบบไหนดีที่สุด

Bounce Rate: เปอร์เซ็นต์ที่วัดจำนวนอีเมลที่ถูกตีกลับ เนื่องจากที่อยู่อีเมลนั้นไม่มีหรือกล่องจดหมายของพวกเขาเต็มหรือเซิร์ฟเวอร์ไม่พร้อมใช้งาน

E-Mail Automation: ซอฟต์แวร์ที่ทำการตลาดออนไลน์ผ่านอีเมลแทนคุณ เช่น MailChimp เป็นต้น

Drip Marketing: กลยุทธ์การตลาดทางตรง โดยสื่อสารผ่าน Messages หรือ Content เพื่อสร้าง Leads (ว่าที่ลูกค้า) ผ่านการเลี้ยงดู ฟูมฟัก

Web Design & Development

HTML: ภาษาที่ใช้ในการสร้างเว็บไซต์

CSS: ภาษาที่ใช้สำหรับตกแต่งเอกสาร HTML/XHTML ให้มีหน้าตา สีสัน ระยะห่าง พื้นหลัง เส้นขอบและอื่นๆ ตามที่ต้องการ

Javascript: ภาษาสคริปต์เชิงวัตถุ มักใช้เพื่อสร้างและพัฒนาเว็บไซต์ HTML ให้มีไดนามิกและมีการเคลื่อนไหว สามารถตอบสนองผู้ใช้งานได้มากขึ้น

HEX Code: โค้ดที่ใช้ใน HTML และ CSS เพื่อกำหนดสีเฉพาะซึ่งมักปรากฏหลังเครื่องหมายปอนด์ (#)

User Experience (UX): ประสบการณ์การใช้งานเว็บไซต์หรือแอปพลิเคชันของผู้ใช้

Checkout Flow: การออกแบบประสบการณ์การใช้งานเว็บไซต์อีคอมเมิร์ซ (UX) แต่แบบละเอียด เพื่อทำให้ผู้ใช้งานสามารถใช้งานได้ง่ายที่สุด

Below the Fold: การออกแบบหน้าเว็บไซต์ให้แสดงผลเนื้อหาบางส่วน โดยยังมีส่วนที่เหลืออยู่ด้านล่างของเว็บไซต์ ผู้ใช้งานจะเห็นก็ต่อเมื่อ Scroll ลงมาชม

Below-the-Fold